วันอาทิตย์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2556

5 ข้อห้าม ในการเรียนภาษาอังกฤษ


1. ห้าม คิดว่าภาษาอังกฤษตัวเองดีอยู่แล้ว

สำหรับคนที่มีพื้นฐานทางภาษาอังกฤษที่ดี หรืออยู่ในระดับที่เก่งแล้วก็อาจเลือกที่จะข้ามข้อนี้ไปได้ จริงๆแล้วขึ้นอยู่กับว่าเราพอใจทักษะของตัวเองอยู่ไหนระดับไหนเอาแบบพอสื่อสารกับฝรั่งได้ ทำข้อสอบชิงทุนได้สอนพิเศษได้หรือแม้แต่ไปประกวดแข่งขันตามงานต่างๆได้ แต่อย่าลืมว่าเรื่องของภาษา ถ้าไม่ได้ใช้งานเป็นระยะเวลานานๆก็อาจทำให้ความสามารถของเราถดถอยลงได้ โดยเฉพาะถ้าเราไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษทุกวัน วันละหลายชั่วโมงเหมือนในต่างประเทศขอแนะนำให้พัฒนาภาษาอังกฤษของตัวเองอย่างต่อเนื่อง

2. ห้าม ดูถูกตัวเองว่าเอาดีไม่ได้ทางภาษาอังกฤษ

ขืนคิดแบบนี้ก็จบกันพอดี แบบนี้เรียกว่าแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มเลยนะ ปัจจุบันสังคมเรามีสื่อการสอนภาษาอังกฤษให้เลือกมากมาย เรามีโอกาสมากกว่าผู้ใหญ่สมัยยังไม่มีอินเตอร์เน็ตตั้งเยอะ แต่บางคนยังขาดความเชื่อมั่นในตัวเองทั้งๆที่มีความสามารถเพียงพอที่จะเรียนรู้ภาษาที่สอง ได้อย่างสบายๆ ถ้าเป็นแบบนี้ลองปรับทัศนคติดู ว่าภาษาอังกฤษไม่ได้ยากอย่างที่คิดเลย

3. ห้าม คิดว่าการเรียนภาษาเป็นเรื่องยาก หรือพรสวรรค์

บางคนอาจเก่งภาษาโดยไม่ต้องพยายามมากนัก แต่บางคนอ่านหนังสือให้ตายยังไงก็จำไม่ได้ ใช้ไม่เป็น แต่จะไปโทษว่าเป็นเรื่องของพรสวรรค์ก็ไม่มีประโยชน์ บางทีคนที่เรามองว่าเก่ง เขาอาจต้องผ่านอะไรมาเยอะก่อนจะมาถึงจุดนี้ เพราะทักษะภาษาอังกฤษมันสามารถสร้างและสั่งสมได้จริงๆ แทนที่เราจะไปอิจฉาคนอื่น สู้เอาเวลามาให้กับการเรียนภาษาของตัวเราเองดีกว่าจริงไหม?

4. ห้าม ผลัดวันประกันพรุ่งในการเริ่มฝึกฝนภาษา

มันเป็นเรื่องยากที่เราจะทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ และสำหรับหลายๆคนแล้ว การมานั่งท่องตำราภาษาอังกฤษ หรือเปิดอ่าน dictionary ทั้งวันคงเป็นเรื่องน่าเบื่อแน่นอน ทำให้เกิดความคิดที่ว่า “ไม่เป็นไร ยังมีเวลาอีกมาก” หรือ “เดี๋ยวค่อยอ่านทีหลังแล้วกัน” ซึ่งการ procrastinate แบบนี้ยิ่งทำให้เราปิดโอกาสตัวเองไปอีก เรื่องแบบนี้ไม่มีใครมาบังคับเราได้นอกจากตัวเราเอง ที่จริงแล้วการเริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษวันนี้จะส่งผลประโยชน์ที่ดีต่ออนาคตเรามากมายเลยนะ

5. ห้าม คิดว่าตัวเองไม่มีเงินเรียนภาษา

จริงอยู่ที่คอร์สสอนภาษาอังกฤษมีราคาแพงตามระดับคุณภาพและจำนวนชั่วโมง แต่อยากให้ทุกคนลองมองโอกาสใกล้ตัวครับ อย่างเช่นอาจารย์ฝรั่งที่เดินไปเดินมาในโรงเรียนก็เข้าไปพูดกับเขาสิครับ ทักทายด้วยประโยคแสนจะเบสิคอย่าง “Hi, how are you doing?” ก็ได้ แล้วก็ลองถามคำถามอีกนิดหน่อย บางคนอาจมองว่าคงไม่ได้อะไร แต่สิ่งที่ได้คือ ความกล้า ซึ่งถือเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการเรียนภาษา

ที่มา : http://webboard.yenta4.com/topic/552978

โครงการ " รู้รัก รู้ป้องกัน รู้ทันโรคเอดส์ "

โครงการ " รู้รัก รู้ป้องกัน รู้ทันโรคเอดส์ "
วันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม 2556
ณ วิทยาลัยอาชีวศึกษาสุราษฎร์ธานี
โดย นักศึกษาชั้น ปวส.1 สาขาวิชาการพัฒนาเว็บเพจ



โครงการ " ประดิษฐ์ดอกกุหลาบจากใบเตยหอม "

โครงการ " ประดิษฐ์ดอกกุหลาบจากใบเตยหอม "
วันศุกร์ที่ 12 กรกฎาคม 2556
นักศึกษาระดับชั้น ปวส.1 สาขาวิชาการพัฒนาเว็บเพจ
วิทยาลัยอาชีวศึกษาสุราษฎร์ธานี



กิจกรรม " วันไหว้ครู "

กิจกรรม " วันไหว้ครู ปีการศึกษา 2556 "
วันพุธที่ 20 มิถุนายน 2556
วิทยาลัยอาชีวศึกษาสุราษฎร์ธานี



วันเสาร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2556

โครงการ " ห้องน้ำสะอาด สร้างสุข "

โครงการ " ห้องน้ำสะอาด สร้างสุข "
วันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม 2556
นักเรียนระดับชั้น ปวส.1 สาขาวิชาการพัฒนาเว็บเพจ
วิทยลัยอาชีวศึกษาสุราษฎร์ธานี



โครงการ " วันแม่แห่งชาติ "

โครงการ " วันแม่แห่งชาติ "
ณ ศาลากลาง จังหวัดสุราษฎร์ธานี
วันที่ 12 สิงหาคม 2556  เวลา 18.00-20.00 น.
โดย นักศึกษา ปวส.1 สาขาวิชาการพัฒนาเว็บเพจ
วิทยาลัยอาชีวศึกษาสุราษฎร์ธานี



วันพุธที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เกร็ดเคล็ดลับ วิธีการดูแลผมตรงสวย


- เริ่มจากสระผม คนส่วนใหญ่จะชอบมาขยี้ตรงปลายผม แต่จริงๆ แล้วการสระผมควรให้เน้นการนวดหนังศีรษะ ส่วนบริเวณผมช่วงตรงกลางถึงปลายผม เราไม่ควรขยี้ผม แต่ปล่อยให้น้ำที่ไหลออกจากฝักบัวชะล้างแชมพูที่อยู่บริเวณโคนผมไหลลงมาเพื่อทำความสะอาดส่วนของกลางตลอดจนปลายผม 
- ต่อด้วยการใช้ครีมนวดผม สำหรับสาวที่โคนผมมันค่อนข้างมัน ให้ชโลมครีมนวดผมที่ปลายผมก็เพียงพอ ส่วนสาวผมค่อนข้างแห้ง ให้ชโลมผมตั้งแต่โคนผมจรดปลายผม
- จากนั้นหากสาวคนไหนมีผมเสียมาก อาจจะใช้ทรีตเมนต์มาส์กผมอาทิตย์ละครั้ง ในขณะมาสก์ผมให้มัดผมและคลุมผ้า เวลาล้างออกให้ล้างทรีตเมนต์บริเวณโคนผมให้สะอาด ส่วนปลายผมควรทำความสะอาดเพียงเล็กน้อยให้เหลือมาสก์ไว้สักนิดเพื่อเคลือบบำรุงผมไว้
- สุดท้ายใช้ผ้าขนหนูค่อยๆ ซับเบาๆ อย่าขยี้หรือขยำผมแรงๆ  
สำหรับตอนเป่าผมให้แห้ง ให้แบ่งผมเป็นชั้นๆ จับช่อ แล้วใช้เป่าผมในทิศทางลง และใช้หวีแปรง แค่นี้รับรองว่าผมตรงสวยธรรมชาติแน่นอน ไม่ต้องเยอะอีกด้วย.

5 เคล็ดลับ รักษานาฬิกาให้อยู่กับเรานาน ๆ


เริ่มที่ข้อแรก กันน้ำขนาดไหน...    
ถึงแม้ว่านาฬิกาของคุณจะมีคุณสมบัติกันน้ำ หรือสังเกตง่ายๆ ที่นาฬิกาจะเขียนคำว่า “Water Resistant” แต่ก็ไม่ควรใส่นาฬิกาเรือนโปรดว่ายน้ำ เล่นกีฬาทางน้ำหรือดำน้ำ หากไม่ใช่นาฬิกาที่ผลิตมาเพื่อกิจกรรมนั้นๆ โดยเฉพาะ เพราะนาฬิกากันน้ำสำหรับนาฬิกาทั่วๆ ไป คือ แค่กันเหงื่อหรือฝนเท่านั้น 

ข้อสอง เพื่อผู้หลงใหลนาฬิกากลไก
แฟนนาฬิกากลไกนั้น สิ่งที่ควรระวังอย่างมากคือ ความสั่นสะเทือนและการปรับเปลี่ยนอุณหภูมิขณะใส่ สิ่งแรกความสั่นสะเทือนควรหลีกเลี่ยงการใส่นาฬิกาในกิจกรรมที่มีแรงกระแทก หรือความสั่นสะเทือนซ้ำๆ แบบบ่อยครั้ง เช่น ใส่ตีเทนนิส, ใส่ตีสควอช, ใส่ตีกอล์ฟ หรือปั่นจักรยานเสือภูเขา เพราะถึงแม้ในนาฬิกากลไกจักรกลจะมีระบบป้องกันอยู่ แต่หากใช้ในกิจกรรมที่ว่า แรงสั่นสะเทือนในนาฬิกานั้นๆ ก็อาจจะต้านไม่ไหว อีกข้อที่ควรหลีกเลี่ยง คือ การปรับเปลี่ยนอุณหภูมิแบบฉับพลันขณะใส่นาฬิกา เช่น ใส่นาฬิกาเข้าห้องซาวน่าและต่อด้วยการไปว่ายน้ำ หรือใส่นาฬิกาอาบแดดแล้วต่อด้วยการไปว่ายน้ำ ผลเสียเหล่านี้จะส่งผลต่อการทำงานและความเที่ยงตรงของนาฬิกาในอนาคต 

ข้อสาม สำหรับแฟนนาฬิกาสายหนัง 
ควรหลีกเลี่ยงสายหนังสัมผัสกับสเปรย์, ครีมกันแดดเพราะสายหนังจะเสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ และไม่ควรใส่ทุกวัน ควรถอดให้สายหนังคลายตัวและคืนรูปบ้าง ที่สำคัญควรปล่อยให้ความชื้นที่สายหนังระเหยไปให้หมดก่อนนำมาใส่ใหม่

ข้อสี่ สำหรับการปรับตั้งปฏิทินที่นาฬิกา 
ถ้านาฬิกาของคุณหยุดเดินไปแล้ว คุณไม่ควรปรับตั้งเวลาและปรับตั้งปฏิทินใหม่ ระหว่างเวลา 22.00-02.00 น. เพราะอาจทำลายระบบปฏิทินของนาฬิกาได้ ส่วนผู้ที่รักการเดินทางหรือมีภารกิจที่ทำให้ต้องเดินทางบ่อย มีนาฬิกาเรือนเด่นที่ทำให้คุณสะดวกในการรับรู้วันเวลาของแต่ละประเภทได้อย่างแม่นยำ 

ข้อห้า นาฬิกาซ่อมได้
แต่อย่าพยายามซ่อมนาฬิกาเอง ควรส่งให้ช่างผู้ชำนาญและมีประสบการณ์ดูแลจะดีกว่า เพราะบางทีคิดว่าซ่อมเองอาจจะถูกกว่า แต่จะกลายเป็นปัญหา “เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย” ที่สำคัญควรตรวจเช็กเครื่องทุกๆ 3-4 ปี ช่างอาจจะเปลี่ยนชิ้นส่วนที่หมดอายุหรือชิ้นส่วนที่จำเป็นต้องทำความสะอาด หรือปรับอัตราการเดินของกลไกสามารถแวะให้ช่างผู้มีประสบการณ์และชำนาญเรื่องนาฬิกาดูแลได้ที่เคาน์เตอร์ “Watch Repair” (วอทช์ รีแพร์) แผนกนาฬิกา ห้างเซ็นทรัลทุกสาขา

วิธีช่วยทำให้หายตาบวมแบบฉบับเร่งด่วน


 วิธีช่วยให้ตาหายบวมแบบฉบับเร่งด่วน : ช้อนแช่เย็น ช่วยได้ง่ายและถูกเลยค่ะ เพียงใช้ช้อนสะอาดแช่ตู้เย็นไว้หรือจุ่มลงในน้ำแข็งก่อนได้ จะสามารถช่วยลดอาการตาบวมได้ดีทีเดียว เพราะจะช่วยทำให้การไหลเวียนโลหิตรอบดวงตาดีขึ้น โดยใช้ช้อนแช่เย็นนวดประคบรอบๆ ดวงตาทั้งสองข้าง จะช่วยให้รู้สึกสดชื่นและตื่นเต็มตา จากนั้นในช้อนนวดเบาๆ ช่วงข้างจมูกและดวงตา จะช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย ดวงตาจะดูเบิกโตยื่งขึ้น เพียงกดปลายช้อนตรงหัวตาด้านล่างแล้วลากเบาๆ ขึ้นไปยังแนวขมับก่อนปิดท้านด้วยการกดจุดไล่จากหัตาไปยังห่างตาที่ละจุด ทำวนๆ ซ้ำๆ ประมาณ 4-5 รอบ จะช่วยให้ความบวมช้ำรอบดวงตาลดลง เผยดวงตาที่สดใส ซึ่งสามารถใช้ร่วมกับอายครีมได้ด้วยเช่นกัน

5 เรื่องความงามที่สาววัยรุ่นต้องรู้..


1. ไม่ใช้ครีมกันแดด
พลาดไปถนัดทีเดียวที่ปฏิเสธการใช้ครีมกันแดด เพราะมักคิดว่าเหนียวเหนอะหนะไม่สบายหน้า ทาแล้วรู้สึกมันเยิ้ม หรือบางคนอาจจะคิดว่าก็ฉันผิวคล้ำอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องทาก็ได้ ... แต่นี่แหละคือจุดต้นตอของปัญหาใหญ่ในการปฏิวัติความสวยเลยแหละ เพราะการทาครีมกันแดดเป็นการป้องกันและดูแลผิวหน้าในระยะยาวที่ดีที่สุด เปรียบเสมือนเกราะคุ้มครองใบหน้าระหว่างวันกับรังสียูวีที่มากระทบกับใบหน้าและผิวกายโดยตรง แม้ว่าครีมที่เราจะเลือกใช้นั้นจะไม่ได้ผสมสารสกัดราคาแพงก็ตาม แต่การเติมน้ัำให้ผิวและตามด้วยครีมป้องกันแสงแดดในทุกๆครั้งที่ออกจากบ้านนี้ ก็จะช่วยยืดอายุผิวได้นานและยังป้องกันริ้วรอย ฝ้า กระ ได้ดีไม่น้อย ดังนั้นเปรียบทัศนะคติใหม่เดี๋ยวนี้เลยนะ!!
2. ตามกระแส
เดี๋ยวนี้กระแสชั่งพาไปจริงๆ มาแรงซะจนสาวๆนั้นต้องแหกโค้ง อดซื้อตามคำบอกเล่าไม่ได้ แหม!! ก็มันอยากได้นี่ อันนั้นก็ใช้ดี อันนี้ก็โอเค หักห้ามใจไม่ให้หิ้วกลับบ้านไม่ได้ แต่ในที่สุดจะพบว่าเป็นผลิตภัณฑ์ความงามที่ไม่เหมาะกับเราเสียเลย หรือสินค้าแพงเกินจริง ซึ่งเราสามารถมองหาของดีใหล้เคียงกันได้มากมาย ดังนั้นระวังให้มาก!!!! คิดชั่งใจก่อนให้ดีก่อนตัดสินใจทุกครั้ง
3. ไม่ดูอายุผลิตภัณฑ์
บางทีอาจเกิดจากความเสียดายหรือการไม่รู้ แต่ที่สำคัญคือควรใช้ผลิตภัณฑ์ตามอายุของมัน จะสวยทั้งทีห้ามมักง่ายเด็ดขาดล่ะ โดยมีวิธีสังเกตุง่ายๆจาดฉลากข้างขวดที่จะบอกว่าใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพภายในกี่ปี ซึ่งผลิตภัณฑ์สูตรธรรมชาตินั้นจะอายุสั้นว่า 2-3 ปีตามเงื่อนไขของธรรมชาติ
4. ชอบ แต่! ไม่ได้ใช้
ยิ่งหนัก หากเธอมีนิสัยแบบข้อนี้ที่เผลอซื้อเพราะแพคเกจิ้ง บางครั้งก็ใช้ใจพาไป จนซื้อมาสะสมกันไว้จนใช้แทบไม่ทัน สุดท้ายก็คงต้องตัดใจทิ้งไปเพราะของหมดอายุเสียนี่ เพื่อให้แน่ใจว่าเป็นการลงทุนท่คุ้มค่า คราวหน้าลองจดลิสต์รายการบิวตี้ที่ต้องการจริงๆทุกครั้ง จะได้ไม่เผลอพลาดจนอดเสียดายตังค์ที่หลัง
5. ลืมนึกถึงผลกระทบ
ข้อนี้สำคัญมากทีเดียวสำหรับสาวๆ เพราะจะเป็นการดีอย่างยิ่งที่เราจะคิดหน้าคิดหลังก่อนจับจ่าย เช่นเป็นผลิตภัณฑ์ที่ดูดี น่าใช้ แต่กลับบรรจุในแพคเกจจิ้งที่ชวนทำลายสิ่งแวดล้อม ไม่สามารถรีไซเคิลได้ บ้างก็ใส่สารเคมีมากจนเกินความจำเป็น บ้างก็ใช้วัสดุที่ฟุ่มเฟือย จะสวยครบสูตรอยู่แล้ว ช่วยคำนึงถึงผลกระทบของส่วนรวมด้วยจะทำให้เธอกลายเป็นสาวสมบูรณ์แบบที่สุดในโลกเลยหล่ะ

ที่มา : http://webboard.yenta4.com/topic/519544

วิธีดูแลสุขภาพยามอากาศเปลี่ยนแปลง


1.นอนหลับให้เพียงพอ การนอนที่ไม่เพียงพอจะทำให้จำนวนเซลล์ในร่างกายที่หน้าที่ต้านเชื้อโรคต่างๆ ลดลง จึงควรนอนหลับให้สนิททุกๆ วัน
2.ออกกำลังกาย ข้อนี้คนขี้เกรียจมักอ้างว่าร้อน หงุดหงิดยังให้ออกกำลังกายอีก เพลียจะตายอยู่แล้ว การออกกำลังกายจะช่วยเพิ่มเซลล์ที่ป้องกันโรคภัยต่างๆ ได้อย่างมากมายมหาศาล ออกกำลังกายง่ายๆ ที่ทำต่อเนื่องได้ เช่น เดินเร็วๆ วิ่งเหยาะๆ ปั่นจักรยาน การเล่นกีฬาที่มีการเคลื่นไหวอย่างต่อเนื่อง วันละ 30 นาที
3.ล้างมือด้วยสบู่ เอาใจใส่กับการล้างมือก่อนรับประทานอาหารหลังกลับจากนอกบ้าน หลังจากใช้ห้องน้ำ สัมผัสกับสัตว์และหลังจากการไอ จาม
4.แยกเก็บแปรงสีฟัน เมื่อมีคนในครอบครัวป่วยให้แยกแปรงสีฟันของคนป่วยออกจากคนอื่นๆ หลังจากหายป่วยแล้วให้จุ่มแปรงสีฟันในน้ำเดือด เพื่อฆ่าเชื้อโรค หรือเปลี่ยนแปลงอันใหม่ไปเลย
5.ซักผ้าเช็ดมือ ผ้าเช็ดมือควรสะอาดอยู่เสมอ เพราะเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค แนะนำให้ซักในน้ำร้อนทุก 3-4 วัน โดนเฉพาะช่วงที่เป็นหวัดกันมาก
6.ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ น้ำทพให้เนื้อเยื่อต่างๆ ในระบบทางเดินหายใจชุ่มชื่น ช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อโรคฝั่งตัว และทำให้ระบบภูมิชีวิตทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
7.เปิดหน้าต่าง เพื่อถ่ายอากาศถ่ายเท ไม่ควรอยู่ในห้องแอร์ตลอดเวลา เป็นการไล่เชื้อโรคที่มีอยู่ในห้องและร่างกายได้รับสารจากธรรมชาติทำให้ภูมิชีวิตแข็งแรงขึ้น
8.ผ่อนคลาย ทำสมาธิ หลับตา หายใจลึกๆ เป็นการคลายเครียดและเข้าสู่ความสงบ ร่างกายได้พักลึก ไม่เจ็บป่วยง่าย
9.ได้รับวิตามินซีจากธรรมชาติ รับประทานผักผลไม้ที่มีสารพฤกษเคมีอย่างวิตามินซีและแคโรทีนอยด์ ช่วยเพิ่มภูมิชีวิต เช่นแครอต กีวี ลูกเกด ถั่วเขียว ส้ม สตรอเบอร์รี่ บรอกโคลี ดอกกะหล่ำ กะหล่ำปี

กินเค้กอย่างไร...ไม่ให้อ้วน !


พูดถึงการกินเค้กอย่างไรไม่ให้อ้วน สิ่งแรกที่สาวๆ ควรรู้ไว้เลยว่าต้องกินให้ "ถูกเวลา" ซึ่งช่วงเวลาที่หมาะสมกับการกินเค้กนั้นคือ "ช่วงเช้า" อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าอาหารเช้ามีความสำคัญต่อร่างกาย ตอนเช้าเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายทำงานมากที่สุด เมื่อเรากินอาหารเข้าไปทำให้สามารถนำอาหารที่เรากินไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่

ดังนั้นสาวๆ ที่ชอบกินเค้ก ให้นำมาเป็นอาหารที่ให้พลังงานในมื้อเช้า เพราะในช่วงเช้าระดับน้ำตาลในเลือดจะต่ำไม่ว่าใครก็ตามที่ตื่นนอนใหม่ๆ สมองจะไม่สามารถทำงานได้คล่องแคล่วในช่วงเวลานี้ เพราะจะมีการตอบสนองที่ไวต่อน้ำตาลในเลือดต่ำเป็นพิเศษ และน้ำตาลเป็นแหล่งพลังงานหลักของร่างกาย

ถ้าเรากินเค้กในมื้อสาย หรือคิดง่ายๆ ว่าเป็นของว่างระหว่างมื้อในตอนกลางวัน จะทำให้ร่างกายไม่สามารถใช้พลังงานที่ได้จากการกินเค้กหมดไป ร่างกายของเราจะสามารถใช้พลังงานให้หมดไปด้วยการทำกิจกรรมใน 1 วัน โดยการเคลื่อนไหว ยิ่งเคลื่อนไหวมากร่างกายจะดึงพลังงานจากเค้ก 1 ชิ้นให้หมดไปในช่วงก่อนเที่ยงได้ แค่ปรับเวลาการกินเค้กมาอยู่ในช่วงเช้า สาวสวยอย่างเราก็ไม่ต้องกลัวอ้วนอีกต่อไป

แป้งพัฟแตกทำไงดี ?


1. เติมแอลกอฮอล์เช็ดแผล ลงไปในตลับและใช้มีดช่วยเกลี่ยเนื้อแป้งให้กลับเข้ารูปดังเดิมปล่อยให้แห้งสนิทก่อนใช้

2. ถ้ามันแตกเกินกว่าจะเยียวยา ก็ทำให้มันป่นเป็นผงซะเลย แล้วเปลี่ยนมาใส่ตลับหรือขวดที่มีฝาปิดและคุณก็สามารถใช้มันต่อได้แบบเดียวกับแป้งฝุ่น


สำหรับการป้องกันยามเดินทาง วางสำลีแผ่นลงบนอายแชโดว์ บลัชออน หรือแป้ง ก่อนปิดฝา มันจะช่วยดูดซับแรงกระแทกที่เกิดขึ้นได้และเก็บไว้ในที่แห้งและเย็นเพื่อรักษาสภาพเนื้อเครื่องสำอางเอาไว้


ที่มา : http://variety.teenee.com/foodforbrain/55441.html

5 สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงก่อนออกกำลังกาย


1. อาหารที่มีปริมาณน้ำตาลสูง
เพราะน้ำตาลที่ผสมอยู่ในของหวานหรือขนมหวานต่าง ๆ ทำให้อาหารเหล่านี้มีสารคาร์โบไฮเดรตสูง และเมื่อร่างกายของคุณรับคาร์โบไฮเดรตเข้าไปมาก ๆ ก็จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้กล้ามเนื้อแขนขาอ่อนแรง เกิดอาการหน้ามืดตาลายในระหว่างออกกำลังกายหรืออาจสูญเสียการควบคุมร่างกาย ก็ได้ ทางที่ดีหลีกเลี่ยงอาหารชนิดนี้ไว้ดีกว่า

2. อาหารฟาสต์ฟู้ด
การไปออกกำลังกายแค่ 1-2 ชั่วโมง ไม่สามารถเผาผลาญไขมันที่คุณได้รับจากแฮมเบอร์เกอร์ เฟรนช์ฟราย อาหารสุดโปรดของคุณได้หรอก เพราะในอาหารเหล่านั้นมีปริมาณไขมันสูงมาก ซึ่งกว่าร่างกายของคุณจะย่อยไขมันได้ก็ใช้เวลาตั้ง 4 ชั่วโมง เป็นช่วงที่กระเพาะอาหารของคุณทำงานหนักมาก จึงทำให้ร่างกายต้องดึงเลือดจากส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย ส่งไปยังกระเพาะอาหารเพื่อย่อยไขมัน ก็เลยทำให้คุณรู้สึกเฉื่อยชาไม่ค่อยอยากจะขยับแขนยับขาออกกำลังมากสักเท่า ไหร่นั่นเอง 

3. ช่วงท้องว่าง 
ปกติร่างกายจะดึงพลังงานที่ได้จากอาหารมาใช้ แต่เมื่อท้องว่างร่างกายของคุณก็จะดึงพลังงานสำรองหรือดึงไกลโคเจนมาใช้แทน ซึ่งหากระดับไกลโคเจนลดลง ก็จะทำให้ร่างกายของคุณอ่อนเพลียและเหนื่อยง่ายขึ้น ดังนั้นก่อนออกกำลังกายก็ควรทานอาหารรองท้องสักหน่อย เช่น ผลไม้สักชิ้นสองชิ้น กล้วยสักใบ หรือโยเกิร์ตสักถ้วย เอาไว้เพิ่มพลังงานสำหรับออกกำลังกายหน่อยก็ดี

4. เครื่องดื่มให้พลังงาน 
เพราะเครื่องดื่มประเภทนี้มีส่วนผสมคาเฟอีน (รวมทั้งมีปริมาณน้ำตาลมาก) ซึ่งคาเฟอีนมีฤทธิ์กระตุ้นประสาททำให้นอนไม่หลับ ส่งผลทำให้ร่างกายของคุณพักผ่อนไม่เพียงพอ แล้วคุณจะรู้สึกอ่อนเพลีย รวมทั้งรู้สึกพะอืดพะอมตลอดเวลา

5. ไข่ไก่ดิบ 
บางคนคิดว่าการรับประทานไข่ไก่ดิบจะช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อได้ แต่จริง ๆ แล้วการรับประทานไข่ไก่ดิบนั้น นอกจากจะไม่ได้ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อของคุณแล้ว ยังอาจทำให้คุณท้องเสียได้ง่าย ๆ อีกด้วย ดังนั้นคุณก็เปลี่ยนมารับประทานไข่ไก่ต้มสุกจะดีกว่า

ที่มา : http://variety.teenee.com/foodforbrain/55496.html

เกาะกระดาน


เกาะกระดาน 
     เป็นเกาะที่สวยที่สุดของทะเลตรัง อยู่ทางด้านตะวันตกของเกาะมุกและเกาะลิบง มีเนื้อที่ 600 ไร่ ซึ่ง 5 ใน 6 ส่วนของเกาะนี้อยู่ในความรับผิดชอบของอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม ที่เหลือเป็นของเอกชน โดยเกาะกระดานมีชายหาดที่มีทรายขาวละเอียดและน้ำทะเลใสจนมองเห็นแนวปะการัง ซึ่งเป็นปะการังน้ำตื้น ตลอดจนฝูงปลาหลากสีหลายพันธุ์ บนเกาะมีที่พักบริการทั้งของเอกชนและกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่า และพันธุ์พืช ส่วนการเดินทางสามารถเช่าเรือจากท่าเรือปากเมงหรือท่าเรือเจ้าไหม ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง 30 นาที


5 เหตุผลที่ทำให้คุณทานจุบจิบโดยไม่รู้ตัว


1. เพื่อลดความเครียด
บางครั้งคนเราก็ชอบกินเพื่อลดความเครียดของตัวเองโดยไม่รู้ตัว เหมือน ๆ กับคนที่ชอบช้อปแหลกแก้เครียดนั่นแหละ และการทำแบบนั้นก็จะทำให้เราเสียสุขภาพและน้ำหนักพุ่งพรวดอย่างรวดเร็ว จนกว่าจะรู้ตัวก็อาจจะมีน้ำหนักมากเกินจนลดได้ยากแล้วก็ได้ เพราะฉะนั้นควรใช้วิธีง่าย ๆ เช่นติดสติกเกอร์ว่า "หยุดกิน" ไว้ที่ตู้เย็น เพื่อเตือนตัวเองทุกครั้งก่อนที่จะหยิบขนมทั้ง ๆ ที่ไม่ได้หิวดูก็ได้ นอกจากนี้ก็ควรเลือกเก็บแต่ขนมทานเล่นที่ดีกับสุขภาพและไม่อ้วนมากเอาไว้ในตู้เย็นด้วย ถ้าอดใจไม่ไหวจริง ๆ จะได้ไม่เสียสุขภาพมากนัก

2. กำจัดความเศร้า
เคยเป็นไหมเวลาที่เลิกกับแฟนหรือทะเลาะกับเพื่อนแล้วอยากจะทานไอศกรีมถ้วยใหญ่สักถ้วยปลอบใจตัวเอง แต่ควรลด ๆ ลงบ้างเถอะ เพราะถึงคุณกินอีกเท่าไหร่ก็ช่วยแก้ปัญหาไม่ได้หรอก มีแต่น้ำหนักตัวคุณเนี่ยแหละที่จะเพิ่มขึ้น ดังนั้นควรหันมาเขียนไดอารี่ระบายความรู้สึกหรือปรึกษาเพื่อน ๆ แทนการเอาขนมเข้าปากจะดีกว่า

3. เป็นรางวัลให้กับตัวเอง
หลังจากได้เลื่อนตำแหน่งหรือลดน้ำหนักได้สำเร็จตามเป้า เราก็มักจะอยากให้รางวัลความพยายามของตัวเองด้วยการกินชุดใหญ่เสมอ จนทำให้น้ำหนักที่อุตส่าห์ลดไปได้หลายกิโลกลับมาเท่าเดิมอีกครั้ง เราจึงควรให้รางวัลตัวเองด้วยการใช้วิธีอื่น เช่นซื้อชุดใหม่สวย ๆ หรือรองเท้าคู่ที่อยากได้แทน ทั้งนี้ถ้าอดใจไม่ไหวอยากเลี้ยงฉลองจริง ๆ ก็ควรเตือนตัวเองไว้ไม่ให้ทานเยอะเกินไป และอย่าทานใกล้เวลาเข้านอนนักด้วย

4. ทานขนมเล่นแก้เบื่อ
เวลาที่ดูโทรทัศน์เพลิน ๆ หรือนั่งทำงานเบื่อ ๆ เราก็มักจะอดไม่ได้ที่จะหาขนมใส่ปากมาเคี้ยวเล่นแก้เซ็งเสมอ แถมตอนที่เรากินขนมไปเรื่อย ๆ แบบนี้ ก็จะหยิบเข้าปากไปอยู่ตลอด จนกลายเป็นทานมากเกินโดยไม่รู้ตัว จากที่ตอนแรกคิดว่าจะกินขนมแค่ถุงเดียว รู้ตัวอีกทีก็อาจกลายเป็น 2 - 3 ถุงไปแล้วก็ได้ เพราะฉะนั้นถ้าจะทานขนมไปด้วยจริง ๆ ก็ควรเลือกกินแต่ขนมที่ดีกับสุขภาพและไม่ทำให้อ้วนมากเท่านั้น

5. ใช้เป็นข้ออ้างถ่วงเวลา
คุณเคยบอกตัวเองไหมว่า ทานเค้กชิ้นนี้ให้หมดก่อนแล้วกัน แล้วค่อยไปทำการบ้านต่อ จากนั้นก็นั่งกินช้า ๆ ไปเรื่อย ๆ เพื่อถ่วงเวลา บางครั้งเราก็ไม่ได้อยากกินขนมจุบจิบมากมายนักหรอก เราก็แค่อยากหาข้ออ้างต่อเวลาก่อนจะต้องไปทำเรื่องน่าเบื่อเท่านั้นแหละ ดังนั้นควรหันมาทานอาหารครบ 3 มื้อให้ตรงเวลา จะได้รู้สึกอิ่มจนไม่คิดอยากกินขนมจุบจิบระหว่างวันอีก

ที่มา : http://variety.teenee.com/foodforbrain/55433.html

วันอังคารที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2556

สอนทำขนม Marshmallow Cupcake


สอนวาดรูป Fatlipz Draw Time - การวาดหัว


โมเมพาเพลิน For theBalm | มือใหม่หัดแต่ง


[Hon] วิธีการเล่นเเบบพื้นฐาน


Side Swept French Fish Braid Hairstyle